ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำ แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลง
มีหลักพิจารณา ดังนี้
กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็นโดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา
คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อม ๆ กัน ดังนี้
1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกิดไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรุ้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
2. เงื่อนไขความธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความชื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความพากเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมสิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี
การพัฒนาการเกษตรแบบ " ผึ่งพาตนเอง"
พระ บาท สมเด็จ พระ เจ้า อยู่ หัว ทรง มี พระ ราช ดำริ ใน การ จัด การ ทรัพยากร ระดับ ไร่ นา เพื่อ การพ ัฒนา การ เกษตร แบบ พี่งตน เอง (Self Reliance) มา ตั้ง แต่ ปี พ.ศ . ๒๕๑๗ โดย ทรง เน้น ให้ เกษตร กร สามารถ พึ่ง ตน เอง และ ช่วย เหลือ ตน เอง เป็น หลัก สำคัญ และ มี พระ ราช ประสงค์ เป็น ประการ แรก คือ การ ทำ ให้ เกษตร กร สามารถ พึ่ง ตน เอง ได้ ใน ด้าน อาหาร ก่อน เป็น อัน ดับ แรก เช่น ข้าว พืช ผัก ผล ไม้ ฯลฯ แนว พระ ราช ดำริ ที่ สำคัญ อีก ประการ หนึ่ง คือ การ ที่ ทรง พยายาม เน้น มิ ให้ เกษตร กร พึ่ง พา อยู่กับพืช เกษตร แต่ เพียง ชนิด เดียว เพราะ มี ความ เสี่ยง ที่ จะ เกิด ความ เสีย หาย สูง เนื่อง จาก ความ แปรปรวน ของ ราคา และ ความ ไม่ แน่ นอน ของ ธรรม ชาติ ทา งอ อก ก็ คือ นอก จาก จะ ปลูก พืช หลาย ชนิด แล้ว เกษตร กร ควร จะ ต้อง มี ราย ได้ เพิ่ม ขึ้น นอก เหนือ ไป จาก ภาค เกษตร เช่น การ ส่ง เสริม อุตสาหกรรม ใน ครัว เรือน ของ มูลนิธิ ส่ง เสริมศิลปา ชีพ พิเศษ ใน สมเด็จ พระ นาง เจ้า สิริกิติ์ พระ บรม ราชินี นาถ ซึ่ง ดำ เนิน งาน สนับสนุน งาน ของ พระ บาท สมเด็จ พระ เจ้า อยู่ หัว ใน ปัจจุบัน (สำนัก งาน กปร., ๒๕๔๒)
เศรษฐกิจพอเพียง ฉบับประชาชน
การสำรวจครั้งนี้กระทำขึ้นระหว่างวันที่ 3 มกราคม-15 มกราคม 2550 โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,073 คน จาก 18 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง เชียงใหม่ กำแพงเพชร แพร่ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด นครพนม นครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่ ชลบุรี ระยอง และปราจีนบุรี กระทำโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้อง กับประชากรเป้าหมายจากสำมะโนประชากรของประเทศ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
I. สถานภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนโดยทั่วไป
ก่อนอื่น เราคงต้องทำความเข้าใจลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจเสียก่อน เพื่อให้ทราบถึงสถานสภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละครัวเรือนว่ามีรายได้ รายจ่าย และเงินออมของครัวเรือนต่อเดือนเป็นอย่างไร จากการสำรวจ พบว่า กลุ่มตัวอย่างประมาณ 10.3% มีรายได้ครัวเรือนต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท 19.0% มีรายได้อยู่ระหว่าง 5,001-10,000 บาท 26.8% มีรายได้ 10,001-20,000 บาท 24.1% มีรายได้ 20,001-40,000 บาท 11.7% มีรายได้ 40,001-60,000 บาท และ 8.2% มีรายได้มากกว่า 60,000 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรายจ่ายเฉลี่ย คิดเป็นประมาณ 67.0% ของรายได้ ในจำนวนนี้ 72.8% มีบ้านเป็นของตัวเอง ขณะที่ 27.2% ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง โดยอาศัยอยู่บ้านเช่า หรือบ้านญาติ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 62.9% มีหนี้สิน ขณะที่ 37.1% ไม่มีหนี้สิน ผู้ที่มีหนี้สินมีหนี้สินโดยเฉลี่ยครัวเรือนละ 404,470 บาท คิดเป็นสัดส่วน 14.1 เท่าของรายได้
สำหรับสาเหตุของการเป็นหนี้ กลุ่มตัวอย่าง 35.0% เป็นหนี้เพื่อการใช้จ่ายอุปโภคบริโภค ขณะที่ 26.4% เป็นหนี้ซื้อยานพาหนะ 24.4% เป็นหนี้ซื้อบ้าน และ 14.2% เป็นหนี้อื่นๆ ถึงแม้ว่าผู้เป็นหนี้ส่วนใหญ่รวมกันถึงประมาณ 50.0% จะเป็นหนี้เพื่อซื้อสินทรัพย์ แต่มีผู้ตอบถึง 35.0% ที่ต้องเป็นหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง เพราะแสดงถึงการมีรายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายทั่วไป เมื่อพิจารณาลึกลงไปเฉพาะกลุ่มนี้ จะพบว่าเป็นผู้มีรายได้ครัวเรือนค่อนข้างต่ำ หัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาต่ำ มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 40 ปี กลุ่มตัวอย่างที่เป็นหนี้ ชำระหนี้ต่องวดเฉลี่ยเป็นเงิน 7,893 บาท โดยส่วนใหญ่ 82.5% ของผู้ชำระหนี้ ชำระหนี้น้อยกว่ารายได้ในแต่ละเดือน แต่มีผู้ตอบ 13.9% ที่ชำระหนี้มากกว่ารายได้ และ 3.5% ชำระหนี้เท่ากับรายได้ที่หามาได้ในแต่ละเดือน นั่นหมายความว่าในบรรดาผู้เป็นหนี้สินมีถึง 18.0% ที่มีรายได้ในแต่ละเดือนไม่พอใช้หนี้ และไม่มีรายได้อื่นเพื่อมาใช้จ่าย
II. ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
การจะนำเอาแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับสังคมไทยให้เกิดประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคคลและประเทศชาตินั้น สิ่งสำคัญที่ถือได้ว่า เป็นหัวใจของการดำเนินการ คือผู้ปฏิบัติจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญานี้อย่างถ่องแท้ และสอดคล้องกันทั้งประเทศ ทั้งผู้วางนโยบาย และผู้ปฏิบัติหรือภาคประชาชน เนื่องจากลักษณะสำคัญในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีเรื่องของความรู้ความเข้าใจ และการมีเหตุมีผลเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการสำรวจครั้งนี้ จึงได้มีการให้ประชาชนประเมินตนเอง เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของตนเอง และสังคมรอบข้างด้วย
ผลการสำรวจ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ประเมินตนเองว่ามีระดับ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงน้อยมากจนถึงไม่เข้าใจเลยนั้น มีจำนวน 10.0% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือของประเทศ มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน และมีอายุระหว่าง 50-59 และ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่มีผู้ตอบว่าตนเองมีความเข้าใจมาก 33.5% และเข้าใจปานกลาง 57.2% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
เพื่อให้ได้ข้อมูลครอบคลุมครบถ้วน ประเด็นต่อมาจึงให้กลุ่มตัวอย่างประเมินคนใน หมู่บ้าน/ชุมชนของตนเองถึงระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตนเอง ผู้ตอบที่ประเมินคนในหมู่บ้าน/ชุมชน ของตนว่ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในระดับมากนั้น มีจำนวนลดลงมากกว่าครึ่ง และจำนวนที่มีความรู้น้อยหรือไม่เข้าใจเลย กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว (เข้าใจมาก 14.2% ปานกลาง 58.2% น้อย 25.5% และไม่เข้าใจ 2.1%)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น